news
ข่าวสารและบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้
In-house Training
การนั่งสมาธิคือ "ยาวิเศษ"
นั่งสมาธิ หรือการทำสมาธิ คือการฝึกปฏิบัติที่ใช้ความตั้งมั่น จดจ่อ และแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสงบ เกิดความรู้สึกตัวหรือมีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้นการทำสมาธินั้นปฏิบัติกันมานานนับพันปี โดยแรกเริ่มจะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันทางศาสนา ตามหลักคำสอนหรือความเชื่อของแต่ละศาสนา ซึ่งปัจจุบันการทำสมาธินั้นแพร่หลายไปทั่วโลก โดยนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน เช่น ลดความเครียด หรือช่วยผ่อนคลายทั้งกายและใจ รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนและการการทำงาน
วิธีที่ทำเพื่อให้เกิดสมาธิมีหลายวิธี ได้แก่
ประโยชน์การนั่งสมาธิ
1.ส่งผลให้จิตใจผู้ทำสมาธิผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ สงบ จึงช่วยให้หลับสบายคลายกังวล ไม่ฝันร้าย
2.ช่วยพัฒนาให้มีบุคลิกภาพดีขึ้น กระปรี้กระเปร่า สง่าผ่าเผย มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น รู้สึกควบคุมอารมณ์ จิตใจได้ดีขึ้น เหมาะสมกับกาละเทศะ
3.ผู้ฝึกสมาธิบ่อย ๆ จะมีความจำดีขึ้น มีการพินิจพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ รอบคอบมากขึ้น ทำให้เกิดปัญญาในการทำสิ่งใด ๆ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเล่าเรียน และการทำงานดีขึ้น
4.ช่วยคลายเครียด และลดความเครียดที่จะเข้ามากระทบจิตใจได้ เมื่อเราไม่เครียด ร่างกายก็จะหลั่งสารทำให้เกิดความสุข ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะมีภูมิต้านทานเชื้อโรค และยังช่วยชะลอความแก่ได้ด้วย
5.ทำให้จิตใจอ่อนโยนขึ้น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เกิดความประพฤติดีทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ
6.ระงับอารมณ์โมโห อารมณ์ร้ายต่าง ๆ ได้ เพราะการฝึกสมาธิช่วยให้จิตสงบนิ่งมากขึ้น และเมื่อจิตสงบนิ่งแล้วจะมีพลังยับยั้งการกระทำทางกาย วาจา ใจได้
7.มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิจะมีความดันอัตราการหายใจลดลง หัวใจเต้นช้าลง คลื่นสมองช้าและเป็นระเบียบขึ้น การเผาผลาญอาหารในร่างกายลดลง ความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง ส่งผลให้มีสุขภาพดี และช่วยบำบัดโรคได้ โดยเฉพาะหากปฏิบัติร่วมกับการออกกำลังกาย
นั่งสมาธิกับการรักษาโรค
การฝึกสมาธิเป็นการเปลี่ยนคลื่นความถี่ที่หยาบไปสู่ความละเอียด เมื่อใจสงบกายกับใจก็จะแยกกัน เมื่อสามารถรู้จักใจได้ก็สามารถให้ใจทำอะไรได้ตามต้องการเท่าที่พลังของใจจะทำได้ ก่อนถึงขั้นนั้นใจต้องสงบเสียก่อน ผู้ฝึกต้องมีความอดทน มีศรัทธาและมีความสม่ำเสมอในการฝึกก็จะบรรลุถึงสิ่งที่ต้องการ
สาเหตุของโรค
1. ภายในร่างกาย ได้แก่
- กองลม มีลักษณะการเคลื่อนไหวและขับเคลื่อน
- กอง น้ำดี มีลักษณะของความร้อนย่อยสลายและสร้างสรรค์
- กองเสมหะ มีลักษณะของความเปียกชื้น หล่อลื่น
2. ขาดสารอาหาร เช่น ขาดโปรตีน ขาดแร่ธาตุ ตานขโมย ลักปิดลักเปิด
3. สารอาหาร เกิน ความจำเป็นมีส่วนเกินตกค้างในร่างกาย โรคอ้วน / โรคเกาต์ / ความดันสูง
4. โรคติดเชื้อ โรคผิวหนัง อหิวาตกโรค ไข้หวัด เอดส์
5. การเปลี่ยนแปลงฤดู
6. การบริหารร่างกายไม่ถูกต้อง
7. การพยายามทำให้เกิดขึ้น
8. กรรมพันธุ์ ตาบอดสี โรคเลือด ศีรษะล้าน
9. วิบากกรรม สาเหตุไม่แน่ชัด ไม่สามารถระบุได้ถูกต้อง เป็น ๆ หาย ๆ
10. อุบัติเหตุทำให้บาดเจ็บแขน – ขาหัก เป็นต้น
11. โรคชราอาจจะเป็นตั้งแต่เด็ก แต่มาปรากฏตอนอายุมาก เช่น ความจำเสื่อม ปวดเข่า