news
ข่าวสารและบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้
In-house Training
โรคกลัวสังคม
เราทุกคนต่างเคยรู้สึกถึงความกังวล หรือไม่สบายใจในสถานการณ์ท่ามกลางสังคม บางทีคุณอาจจะเหงื่อแตกเมื่อต้องทำอะไรต่อหน้าคนอื่น หรือก่อนที่จะนำเสนองานใหญ่ให้ใครได้ฟัง หรือการพูดในที่สาธารณะหรือเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า ทุกเรื่องทุกคนล้วนแล้วแต่เคยประสบแต่ก็มักผ่านมันไปได้ หลาย ๆ คนคงสงสัยกับอาการแบบนี้ แต่ไม่คิดว่าสำคัญอะไรแต่คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะอายเวลาเจอคนแปลกหน้า หรือไม่ชอบอยู่กับคนเยอะ แต่ใครจะรู้ว่าอาการเหล่านี้กลับส่งผลกระทบต่อตนเองมากกว่าที่คิด เราลองมาดูกันว่าอาการแบบนี้เข้าข่ายโรคกลัวสังคมหรือไม่
โรคกลัวสังคม หรือที่เรียกว่า Social anxiety disorder (อ่านว่า โซเชียล แอ็งไสทิ ดิสออเดอร์) คือ การที่ผู้ป่วยมีอาการประหม่า รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กังวลใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจมีผู้อื่นสังเกตจ้องมองตนเอง เช่น การพูดคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย การทำกิจกรรมในที่สาธารณะ หรือนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น โดยมีอาการแสดงคือเมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว มักใจสั่น มือสั่น เสียงสั่น เหงื่อออกมาก อันเกิดจากความตื่นเต้นและความกังวลที่เกิดขึ้นในจิตใจ ทั้งนี้ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น บางครั้งเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนสามารถเจอได้ ไม่เฉพาะกับผู้ป่วยด้วยโรคกลัวสังคมเท่านั้น ความตื่นเต้นธรรมดามักเกิดเป็นครั้งคราว แต่สำหรับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นอาการ
สาเหตุของการเกิดโรคกลัวสังคมที่พบบ่อยคือบุคคลที่ป่วยด้วยโรคนี้มักเคยเจอกับสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกแย่ จนกลายเป็นความฝังใจ เช่น กรณีของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เดิมทีไม่ได้ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม แต่เมื่อถึงอายุ 16 ปี เริ่มโดนเพื่อนแกล้ง และเมื่อต้องพูดหน้าชั้นเรียน กลับไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจ เพื่อนในห้องคุยกันเอง หัวเราะกันเอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่มากกับเหตุการณ์นั้น และกลายเป็นความกลัว จากนั้นจึงมีความกังวลที่จะต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมากมาตลอด ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการครั้งแรกในช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับการประเมินของผู้อื่นต่อตนเองค่อนข้างมาก น้อยคนที่จะเริ่มต้นเป็น
การรักษาโรคกลัวสังคม สาเหตุของโรคที่สำคัญเกิดจากความคิดของตัวผู้ป่วยเอง ทำให้พวกเขาประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี กลัวดูไม่ดีในสายตาคนอื่น กลัวถูกจับจ้อง ซึ่งหลายครั้งเป็นการคิดไปเองของผู้ป่วย เพราะในความเป็นจริง ผู้อื่นอาจไม่ได้สนใจผู้ป่วยเลยก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องพยายามปรับเปลี่ยนที่ความคิดของผู้ป่วยเอง เพื่อประเมินตนเองให้น้อยลง เช่น การพูดหน้าชั้นเรียน ผู้ป่วยมักประเมินไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่า ตนเองพูดน่าเบื่อ ไม่น่าฟัง พูดติดขัด บุคลิกภาพไม่ดี ทำให้ขณะที่ต้องพูดมีความกังวลและอึดอัด จึงต้องแก้ไขโดยการประเมินตนเองให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการคิดไปเองว่าผู้อื่นจะต้องสนใจหรือจับผิด
โรคนี้หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม สิ่งที่ตามมามักจะเป็น ปัญหาที่เกิดในที่ทำงาน ทำงานไม่ได้ หรือได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน คนรัก ที่ถูกกระทบ จนอาจเกิดโรคร่วมดังที่กล่าวมาข้างต้นได้ ในระยะยาว โรคนี้มักเป็นอย่างต่อเนื่อง หนักบ้างเบาบ้างนอกจากนี้กำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญมาก หากผู้ป่วยเจอคำพูดกดดัน เช่น ทำไมทำไม่ได้ แค่นี้เองต้องทำได้สิ เป็นต้น จะทำให้อาการป่วยยิ่งแย่ลง แต่ถ้าเป็นคำพูดให้กำลังใจ จะช่วยผู้ป่วยได้มาก
อ้างอิง ศ.นพ.มาโนช หล่อตระกูล. โรคกลัวสังคม.